เป็นโรคต้อกระจกที่พบในเด็กแรกเกิดหรือภายหลังคลอดในช่วง 3 เดือน อันเกิดจากความผิดปกติขณะตั้งครรภ์ และความผิดปกติจากพันธุกรรม ในรายที่มีแก้วตาขุ่นเล็กน้อยจะไม่กระทบต่อการมองเห็นมากนัก แต่บางรายที่แก้วตาขุ่นมากจะพบปัญหาการมองเห็นไม่ชัดเจน โรคต้อกระจกชนิดนี้เกิดจากหลายสาเหตุ
สาเหตุ ได้แก่
– การได้รับรังสีขณะตั้งครรภ์ เช่น รังสีจากการเอกซเรย์ขณะตั้งครรภ์
– การรับประทานยาบางชนิดขณะตั้งครรภ์ เช่น ยาในกลุ่มของคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) และยาปฏิชีวนะในกลุ่มซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamide)
– โรคความผิดปกติของการเผาผลาญสารอาหาร (Metabolic Disease) ที่เกิดกับแม่ขณะตั้งครรภ์ เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น
– การติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะการติดเชื้อบริเวณมดลูก และโรคอื่นๆ เช่น โรคหัดเยอรมัน คางทูม ไขสันหลังอักเสบ เป็นต้น
– ภาวะการขาดสารอาหารของแม่ขณะตั้งครรภ์
_ ภาวะคลอดก่อนกำหนด
แนะนำผู้ปกครอง ?
ในการดูแลและเข้าใจในการดำเนินไปของโรคต้อกระจกและแนะแนวทางการรักษาโรคเพราะการรักษาโรคต้อกระจกด้วยยายังไม่สามารถรักษาได้ การรักษาจะใช้วิธีเดียว คือ การผ่าตัดลอกต้อกระจกที่ขุ่นออก
เมื่อมีการผ่าตัดรักษาต้อกระจก แก้วตาส่วนที่เสียหายจะถูกลอกกำจัดออกไปจึงจำเป็นต้องหาวัสดุใหม่มาใช้ทดแทนแก้วตาเพื่อให้สามารถมองเห็นได้เหมือนเดิม ได้แก่
1. แก้วตาเทียม (Intraocular Lens) เป็นวัสดุที่ทำจากพลาสติกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด สามารถทำให้การมองเห็นภาพเหมือนแก้วตาปกติ และขนาดภาพเท่าของจริง
2. แว่นตาต้อกระจก (cataract Glasses) เป็นแว่นกระจกนูน สามารถขยายภาพได้ร้อยละ 25-30 ทำให้มองเห็นภาพชัดเฉพาะตรงกลางกระจก แต่ด้านข้างจะมองเห็นภาพบิดเบี้ยวไม่ชัดเจน มีข้อดีที่มีความปลอดภัยสูง และราคาถูก แต่มีข้อเสียที่มองเห็นภาพที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติประมาณร้อยละ 25 มักใส่ในผู้ป่วยที่ผ่าตัดตาข้างเดียว เพราะหากใช้สองข้างจะทำให้มองเห็นเป็นภาพซ้อน
3. เลนส์สัมผัส (Contact Lens) เป็นวัสดุที่ทำจากพลาสติก มีทั้งชนิดแข็ง และอ่อนสามารถขยายภาพได้ประมาณร้อยละ 7 และสามารถใช้ได้กับตาทั้งสองข้างพร้อมกัน แต่มักพบปัญหาการเรียนรู้วิธีการใช้ และปรับตัวได้ช้า
อ้างอิง:ตำราจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล